เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ได้จัดงานแถลงข่าวผลการตรวจสอบธุรกิจ “สแกนม่านตาแลกเหรียญคริปโต” โดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ ชุดที่ 2 ของ สคส. ได้มีการพิจารณาวินิจฉัยทั้งพยานหลักฐาน พยานเอกสาร และคำชี้แจงของผู้ให้บริการ และได้มีคำสั่งทางปกครองดังนี้
คำสั่งดังกล่าวได้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนที่ใช้บริการอย่างกว้างขวาง โดยมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการใช้อำนาจของ สคส. ว่าเกินขอบเขตหรือไม่ รวมถึงการพิจารณาเหตุผลที่นำมารองรับการตัดสินใจว่า การให้บริการของ World Thailand ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนั้นมีความสมเหตุสมผลหรือไม่ โดยบทความนี้จะมีการหยิบยกประเด็นที่น่าสนใจในเชิงลึกจากการแถลงข่าวของ สคส. ที่ผ่านมา มาวิเคราะห์ ดังนี้
การขอความยินยอมถือเป็นหนึ่งในหลักการสำคัญตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ในกรณีที่ไม่สามารถอ้างอิงฐานการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลตา พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ มาตรา 24 ได้ หรือมีการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวตามมาตรา 26 ซึ่งรวมไปถึงข้อมูลความคิดเห็นทางการเมือง ศาสนา ข้อมูลการแพ้อาหาร ข้อมูลสุขภาพ หรือข้อมูลชีวมิติ (Biometric) ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงที่เมื่อประมวลผลอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายจะก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติ หรือถูกกีดกันอย่างไม่เป็นธรรม และส่งผลกระทบอย่างมากต่อสิทธิและเสรีภาพของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
ดังนั้นการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวโดยไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 26 การขอความยินยอมอย่างถูกต้องจึงมีความสำคัญมาก เพื่อให้ทางเลือกที่แท้จริงแก่เจ้าของข้อมูลและแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ขององค์กรซึ่งเป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
โดยหลักแล้ว การขอความยินยอมจะต้องเป็นไปอย่างเสรี (Freely Given) หมายถึง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลต้องสามารถเลือกได้อย่างอิสระว่าจะให้ความยินยอมหรือไม่ โดยไม่มีการบังคับว่าต้องให้ความยินยอม เช่น บังคับให้ยินยอมเพื่อใช้บริการ หรือมีการจำกัดสิทธิของเจ้าของข้อมูลหากไม่ให้ความยินยอม กล่าวคือ เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลต้องไม่เสียเปรียบ (without detriment) และต้องสามารถถอนความยินยอมได้โดยง่ายทุกเวลา นอกจากนี้ ความยินยอมต้องไม่ถูกผูกกับข้อกำหนดและเงื่อนไขอื่น ๆ ต้องแยกเป็นหัวข้อย่อยต่างหาก เพื่อให้เจ้าของข้อมูลสามารถให้ความยินยอมได้อย่างเฉพาะเจาะจงสำหรับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่อาศัยความยินยอมในแต่ละวัตถุประสงค์
ในส่วนของการจูงใจในการให้ความยินยอมนั้น เมื่อพิจารณาจากความเห็นหรือแนวปฏิบัติของหน่วยงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศต่าง ๆ แล้วพบว่า ไม่ได้ถูกห้ามโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาต่อไปด้วยว่า รางวัลดังกล่าวทำให้ผู้ที่ไม่ให้ความยินยอมเสียเปรียบ หรือไม่สามารถใช้บริการหลักของผู้ให้บริการที่ขอความยินยอมหรือไม่ โดยหน่วยงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศต่าง ๆ ได้ให้ความเห็นไว้ดังนี้
สำนักงานกรรมาธิการสารสนเทศแห่งสหราชอาณาจักร (Information Commissioner’s Office: ICO) ได้ให้ความเห็นว่า การจูงใจเพื่อขอความยินยอมสามารถทำได้ในบางระดับ เนื่องจากการให้ความยินยอมมักก่อให้เกิดประโยชน์บางอย่างต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลอยู่แล้ว เช่น การสมัครระบบสมาชิกสะสมแต้มอาจทำให้ได้คูปองส่วนลดราคาสินค้า ซึ่งถือเป็นการจูงใจเพื่อให้ได้รับความยินยอมเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด ในกรณีนี้ ถ้าผู้ใช้บริการไม่ให้ความยินยอมในการสมัครสมาชิก จนสูญเสียสิทธิในการได้รับคูปองลดราคานั้น ยังไม่ถือว่าก่อให้เกิดความเสียเปรียบจากการไม่ให้ความยินยอม อย่างไรก็ตาม องค์กรหรือผู้ให้บริการที่เป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลต้องระมัดระวังผลกระทบไม่ให้ข้ามเส้นไปสู่ลักษณะของการลงโทษหรือทำให้เสียเปรียบอย่างไม่เป็นธรรม
นอกจากการไม่บังคับให้ต้องให้ความยินยอมหรือผูกกับข้อกำหนดหรือเงื่อนไขอื่น ๆ ของการใช้บริการแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงอำนาจต่อรองที่ต่างกัน (Imbalance of Power) ระหว่างองค์กรผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลและเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลด้วย เช่น ในกรณีที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลเป็นหน่วยงานรัฐ เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นประชาชน หรือผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลเป็นนายจ้าง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นลูกจ้าง เนื่องจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลอาจมีความกังวลว่า หากไม่ให้ความยินยอมจะก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบ อาจรู้สึกว่าไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากต้องให้ความยินยอม ทำให้ความยินยอมดังกล่าวไม่เป็นไปโดยเสรีได้เช่นเดียวกัน
ในส่วนนี้ คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลยุโรป (European Data Protection Board: EDPB) ได้ให้ความเห็นว่า การพิจารณาว่าอำนาจต่อรองระหว่างผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลและเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลแตกต่างกันหรือไม่ ต้องพิจารณาหลายองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น ขนาดหรืออำนาจของผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ความจำเป็นในการใช้บริการ ความยุ่งยากหากต้องเปลี่ยนไปใช้บริการกับผู้ให้บริการรายอื่น และผลกระทบต่อชีวิตประจำวันหากไม่ให้ความยินยอม
เมื่อพิจารณาในประเด็นของการให้รางวัลจูงใจกับกรณีของ World Thailand จะเห็นได้ว่า บริการหลักของ World ID คือ การให้บริการหรือพัฒนาระบบยืนยันความเป็นมนุษย์ (Proof of Personhood) ซึ่งพบว่ามีช่องทางในการยืนยันความเป็นมนุษย์ด้วยการสแกนม่านตาเพื่อสร้าง Iris Code หรือรหัสที่สร้างจากข้อมูลม่านตาแค่เพียงวิธีเดียว ไม่ปรากฏว่ามีวิธีอื่นให้ผู้ใช้บริการสามารถยืนยันความเป็นมนุษย์ได้โดยไม่ต้องอาศัยการขอความยินยอม จึงสามารถสรุปได้ว่า แม้จะมีการใช้เหรียญคริปโทเพื่อจูงใจ แต่การไม่ให้ความยินยอมในกรณีนี้ ไม่ได้ส่งผลเพียงแค่ให้ไม่สามารถรับเหรียญคริปโทได้เท่านั้น แต่ยังส่งผลให้ไม่สามารถรับบริการในการยืนยันความเป็นมนุษย์ผ่าน World ID ได้ การจูงใจด้วยคริปโทของ World Thailand นั้นจึงอาจขัดต่อหลัก Freely given ของการขอความยินยอม
สำหรับประเด็นของการขอความยินยอมนั้น ยังมีประเด็นปัญหาเพิ่มเติมคือ การใช้ข้อมูลที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้ขอความยินยอมไว้เมื่อมีการสแกนม่านตาเกิดขึ้น กล่าวคือ การสแกนม่านตามีวัตถุประสงค์เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปประมวลผลเป็น Iris Code เพื่อใช้ยืนยันความเป็นมนุษย์ และจะมีการลบทำลายทันที อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการให้บุคคลที่เคยสแกนม่านตาไปแล้วลองสแกนซ้ำ กลับปรากฏว่าม่านตาดังกล่าวได้ถูกสแกนไปแล้ว แสดงให้เห็นว่าข้อมูล Iris Code นั้นอาจสามารถใช้ในการยืนยันตัวบุคคล (Authentication) รวมไปถึงอาจไม่ได้มีการลบทำลายข้อมูลม่านตาตามที่ World Thailand ได้กล่าวอ้าง ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าการขอความยินยอมในการสแกนม่านตานั้น มีการนำข้อมูลไปใช้นอกวัตถุประสงค์ของการขอความยินยอม จึงเป็นการขอความยินยอมที่ไม่เป็นไปตามหลักกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ในช่วงหนึ่งของการแถลงข่าว ประเด็นเรื่อง “ข้อมูลสแกนม่านตามีความสำคัญเทียบเท่า DNA และร้ายแรงกว่าลายนิ้วมือ” ถูกหยิบยกขึ้นเพื่ออธิบายว่าการละเมิดอาจนำไปสู่โทษปรับทางปกครองสูงสุดถึง 5 ล้านบาท ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า เหตุใดข้อมูลม่านตาจึงถูกมองว่ามีความอ่อนไหวเป็นพิเศษมากกว่าข้อมูลลายนิ้วมือ ทั้งที่ข้อมูลดังกล่าวต่างเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว
กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทั้งของไทยและต่างประเทศได้แยกประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลไว้เป็นพิเศษ นั้นคือ ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว (Sensitive Data) ซึ่งกฎหมายได้กำหนดให้ข้อมูลที่มีลักษณะเช่นนี้จะต้องได้รับการจัดการเป็นพิเศษและได้รับความคุ้มครองมากกว่าข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป เนื่องจาก การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหวนี้อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างชัดเจนต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคล หรืออาจทำให้ถูกเลือกปฏิบัติได้ โดย พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ ได้กำหนดให้ทั้งข้อมูลม่านตาและข้อมูลลายนิ้วมือเป็นข้อมูลชีวภาพ ซึ่งหมายถึง ข้อมูลส่วนบุคคลที่เกิดจากการใช้เทคนิคหรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการนำลักษณะเด่นทางกายภาพหรือทางพฤติกรรมของบุคคลมาใช้ทำให้สามารถยืนยันตัวตนของบุคคลนั้นที่ไม่เหมือนกับบุคคลอื่นได้ เช่น ข้อมูลภาพจำลองใบหน้า ข้อมูลจำลองม่านตา หรือ ข้อมูลจำลองลายนิ้วมือ และข้อมูลชีวภาพนั้นเป็นหนึ่งใน ‘ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว’
อย่างไรก็ตาม กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลไม่ได้มีการแยกระดับของข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวว่าข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวแต่ละประเภท ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลเชื้อชาติ ข้อมูลศาสนา ข้อมูลประวัติอาชญากรรม หรือข้อมูลชีวมิติมีน้ำหนักหรือความร้ายแรงแตกต่างกันแต่อย่างใด ดังนั้นในบริบททางกฎหมาย ข้อมูลม่านตาจึงไม่ได้มีสถานะเหนือกว่าลายนิ้วมือ
อย่างไรก็ตาม ในบริบททางวิทยาศาสตร์นั้น ข้อมูลม่านตาเป็นข้อมูลชีวภาพที่มีความเฉพาะตัวสูงและมีความเสถียรค่อนข้างมากตลอดช่วงชีวิต จึงพิจารณาได้ว่า ข้อมูลม่านตาจัดเป็นข้อมูลชีวมิติที่สามารถระบุตัวบุคคลได้แม่นยำที่สุดประเภทหนึ่ง โดยมีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Cambridge กล่าวไว้ว่า ม่านตาของบุคคลมีรูปแบบของลวดลาย (Pattern) ที่มีความซับซ้อนที่สูงมาก โดยมีตัวแปรที่แตกต่างกันประมาณ 249 จุดลักษณะ ทำให้มีระดับความเป็นเอกลักษณ์ที่สูง (249 degrees of freedom and generates a discrimination entropy of about 3.2 bits/mm2 over the iris) หรือสามารถกล่าวได้ว่า โอกาสที่ม่านตาของบุคคลจะเหมือนกันโดยบังเอิญนั้นต่ำมาก อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่กล่าวต่อไปอีกว่า แม้ในกรณีที่ฐานข้อมูลประกอบไปด้วยประชากรจำนวนมาก แต่ระบบการระบุตัวบุคคลด้วยม่านตานั้นมีโอกาสเกิด collision หรือ false-match ที่ทำให้ระบุตัวตนผิดพลาดต่ำมาก ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม ดังนั้น จากการวิเคราะห์เชิงคณิตศาสตร์ แสดงให้เห็นว่า ข้อมูลม่านตามีความสามารถเพียงพอในการระบุตัวบุคคลในระดับประชากรระดับชาติหรือระดับโลก และมีความเป็นเอกลักษณ์สูง ประกอบกับความได้เปรียบด้านกายภาพของม่านตาที่มีการปกป้องอยู่ภายในดวงตาจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ลวดลายจึงคงที่ มีความเสถียรสูง และแทบไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ดังนั้น ในบริบททางวิทยาศาสตร์ ข้อมูลม่านตาจึงเป็นข้อมูลชีวมิติที่ระบุตัวบุคคลได้อย่างแม่นยำในระดับสูง
เมื่อพิจารณาทั้งสองบริบทประกอบกัน สามารถกล่าวได้ว่า ข้อมูลม่านตามีความสามารถในการแยกแยะและระบุตัวบุคคลในระดับสูง มีความแม่นยำสูง และมีโอกาสผิดพลาดต่ำ เนื่องจากเป็นข้อมูลชีวมิติที่มีความเป็นเอกลักษณ์ มีความเสถียร จึงอาจสามารถพิจารณาได้ว่า ข้อมูลม่านตามีความสำคัญเทียบเท่ากับ DNA ในแง่ของการระบุตัวบุคคล อย่างไรก็ตาม ในบริบทของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลชีวภาพแต่ละประเภทล้วนมีน้ำหนักเท่ากัน คือ เป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลอย่างมาก หากไม่มีกระบวนการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ดังนั้น คำกล่าวของ สคส. จึงตีความได้ว่า นอกจากตัวบทกฎหมายแล้ว สคส. ได้มีการนำบริบททางวิทยาศาสตร์เข้ามาพิจารณาการปฏิบัติหน้าที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลด้วย อย่างไรก็ตาม การพิจารณามูลค่าโทษปรับของ สคส. ไม่ได้คำนึงถึงระดับความสามารถในการระบุตัวบุคคลของข้อมูลม่านตาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่อาจประเมินปัจจัยอื่นประกอบด้วย เช่น จำนวนเจ้าของข้อมูลที่ได้สแกนม่านตา ขอบเขตของการประมวลผล วัตถุประสงค์ของการใช้ข้อมูล มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่มีอยู่ เป็นต้น
นอกจากประเทศไทยที่ได้มีคำสั่งระงับการดำเนินกิจกรรมสแกนม่านตาของ World Thailand แล้ว ยังมีอีกหลายประเทศที่ได้ระงับการให้บริการธุรกิจในลักษณะเดียวกัน เช่น สเปน บราซิล ฮ่องกง อินโดนีเซีย เป็นต้น โดยขอยกตัวอย่างกรณีศึกษาจากประเทศอื่นๆ ที่ได้ทำการระงับการดำเนินกิจกรรมของ World Coin Project ดังต่อไปนี้
หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสเปน (AEPD) ได้ออกมาตรการชั่วคราวให้ผู้ให้บริการ World Coin Project หยุดเก็บและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลในสเปน รวมถึงหยุดประมวลผลข้อมูลที่ได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลไปแล้ว จากการที่ได้รับคำร้องเรียนหลายประการ เช่น การแจ้งข้อมูลที่ไม่เพียงพอ การเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้เยาว์ การไม่เปิดช่องทางสำหรับถอนความยินยอม เป็นต้น
หน่วยงานคุ้มครองส่วนบุคคลของบราซิล (ANPD) ได้ออกมาตรการป้องกันสั่งให้ผู้ให้บริการ World Coin Project หยุดใช้เหรียญคริปโทในการจูงใจให้ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในการสแกนม่านตา เนื่องจากค่าตอบแทนสกุลเงินดิจิทัลอาจจูงใจให้ผู้ที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจให้ให้ความยินยอมโดยไม่เข้าใจถึงผลกระทบและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการยอมให้มีการประมวลผลข้อมูลม่านตา ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว ทำให้ความยินยอมนั้นไม่เป็นไปอย่างเสรี (Not freely Given)
หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของฮ่องกง (The Office of the Privacy Commissioner for Personal Data; PCPD) ได้ตรวจสอบการดำเนินกิจกรรมของ World Coin Project และได้ออกคำสั่งให้หยุดเก็บและประมวลผลข้อมูลม่านตาของประชาชนทันที โดยพบว่าการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวได้ละเมิดหลักเกณฑ์ของ Personal Data (Privacy) Ordinance (PDPO) ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ที่อยู่ในภาคผนวกท้ายกฎหมายหลักว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของฮ่องกง (DPP1 – DPP6) หลายประการ ดังต่อไปนี้
กระทรวงสื่อสารและกิจการดิจิทัลของอินโดนีเซีย (Ministry of Communication and Digital Affairs – Komdigi) ได้สั่งระงับการดำเนินกิจกรรมชั่วคราวของผู้ให้บริการ World Coin Project โดยมีการสั่งระงับใบอนุญาตให้บริการระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อตรวจสอบว่าการเก็บรวบรวมข้อมูลภาพสแกนม่านตา ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวของประชาชนจำนวนมากดังกล่าวขัดกับหลักกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ นอกจากนี้ Komdigi ได้แสดงความกังวลในเรื่องของการใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ความโปร่งใส และมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลที่ได้เก็บรวบรวม ซึ่ง Komdigi ได้ประกาศว่าจะทำการตรวจสอบทั้งเชิงเทคนิคและเชิงกฎหมาย พร้อมแจ้งผลการตรวจสอบในภายหลัง โดยสั่งระงับการดำเนินกิจกรรมของผู้ให้บริการ World Coin Project เป็นการชั่วคราว เพื่อเป็นมาตรการป้องกันในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน (Preventive Measure) โดยภายหลังการตรวจสอบ Komdigi ได้สั่งให้คงการระงับการดำเนินกิจกรรม พร้อมทั้งให้ลบข้อมูลชีวมิติทั้งหมดที่ได้เก็บรวบรวม รวมไปถึงให้ปรับปรุงระบบบริหารจัดการข้อมูลส่วนบุคคล มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัย และมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลใหม่ หากต้องการกลับมาดำเนินกิจกรรมที่อินโดนีเซียอีกครั้ง
สิ่งที่น่าสนใจคือ คำตัดสินของ สคส. มีประเด็นพิจารณาที่คล้ายคลึงกับคำตัดสินของหน่วยงานกำกับในประเทศต่างๆ ที่ได้ยกตัวอย่างไปข้างต้น เช่น การขอความยินยอมที่มีการจูงใจ การจัดการกับข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวในปริมาณมาก ซึ่งชวนให้เกิดการตั้งคำถามว่า แม้ในปัจจุบัน เทคโนโลยีจะมีความก้าวหน้าไปมากเพียงใด แต่ความโปร่งใส ความปลอดภัย และสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลกำลังค่อย ๆ ถูกมองข้ามไปหรือไม่ โดยเฉพาะจากตัวเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเอง กรณีนี้จึงเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาว่า การใช้ข้อมูลชีวมิติไม่อาจอาศัยเพียงเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า แต่ต้องประกอบด้วยมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มาตรการเชิงเทคนิค และความรับผิดชอบอย่างสูงของผู้ให้บริการด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีกลับกลายเป็นภัยคุกคามกับสิทธิและความปลอดภัยของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในอนาคต และความเสียหายในระยะยาวต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
แหล่งอ้างอิง: