Latest News & Insights

Athentic Consulting’s team of experienced experts bring you the
latest news and insights in law and regulations.

ไทยอยู่ระดับไหนในการขับเคลื่อน AI และ Data Transformation?

แม้ว่าเรื่องของปัญญาประดิษฐ์จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วตั้งแต่ในช่วงปี 1950 แต่กลุ่มคนที่รู้จักแนวคิดและประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้อยู่ในวงกว้างนัก จนกระทั่งในปี 2023 ที่มีการเปิดตัว Chat GPT ความตื่นตัวในการศึกษาและประยุกต์ใช้ ปัญญาประดิษฐ์ ถูกเร่งตัวขึ้นอย่างมาก ในกระแสภาคธุรกิจและรัฐบาล จากที่เคยใช้คำว่า Digital Transformation สำหรับโครงการที่มีการนำเอาระบบดิจิทัลต่างๆ มาใช้ ก็เริ่มมีความตื่นตัวมากขึ้นกับคำว่า AI transformation

ก่อนที่เราจะพูดถึง AI transformation ผมจะขอสรุปการเปลี่ยนแปลงทางดิจิตัลในโลกตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมาว่ามีปัจจัยสำคัญอะไรบ้าง เพื่อที่จะเป็นพื้นฐานในการต่อยอดความเข้าใจสู่เรื่องของ AI and Data Transformation

วิวัฒนาการการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในทศวรรษที่ผ่านมา

ทศวรรษที่ผ่านมาได้เห็นการเร่งตัวอย่างมหาศาลของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อเกือบทุกแง่มุมของชีวิตและธุรกิจ เราสามารถแบ่งวิวัฒนาการนี้ออกเป็น 3 ช่วงกว้าง ๆ ได้แก่ ช่วงก่อนโควิด-19 ช่วงหลังโควิด-19 และช่วงปี 2022-จนถึงปัจจุบัน

ช่วงก่อนโควิด-19 (ประมาณปี 2015-2019)

  • การนำไปใช้และการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานอย่างค่อยเป็นค่อยไป: ช่วงนี้มีลักษณะเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ ธุรกิจต่าง ๆ ตระหนักถึงศักยภาพในการปรับปรุงประสิทธิภาพ, ยกระดับประสบการณ์ลูกค้า และสร้างรายได้ใหม่ ๆ
  • การประมวลผลแบบคลาวด์เป็นหัวใจสำคัญ: โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์กลายเป็นกระแสหลักมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยให้ความยืดหยุ่นและปรับขนาดได้สำหรับการจัดเก็บข้อมูลและการใช้งานแอปพลิเคชัน สิ่งนี้ได้วางรากฐานสำหรับโครงการดิจิทัลที่ก้าวหน้ายิ่งขึ้น
  • การเพิ่มขึ้นของ smart phones และ social media: การใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียได้พัฒนาเป็นช่องทางสำคัญสำหรับการสื่อสาร, การตลาด และการค้า
  • ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการวิเคราะห์ข้อมูลในยุคแรก: ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่เริ่มเปลี่ยนจากแนวคิดทางทฤษฎีมาสู่การใช้งานจริง โดยบริษัทต่าง ๆ เริ่มสำรวจการใช้งานในด้านต่าง ๆ เช่น การจัดการลูกค้าสัมพันธ์และการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
  • การมุ่งเน้นที่ประสบการณ์ลูกค้า: แรงผลักดันที่สำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลคือความต้องการที่จะปรับปรุงความพึงพอใจของลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัลและประสบการณ์เฉพาะบุคคล
  • การเกิดขึ้นของ Internet of Thing (IoT): เริ่มได้รับความนิยม โดยอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเริ่มสร้างข้อมูลจำนวนมหาศาล แม้ว่าการนำไปใช้อย่างแพร่หลายยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นก็ตาม
  • ความท้าทาย: องค์กรต่าง ๆ เผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ เช่น การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง, ช่องว่างด้านทักษะภายในทีม และความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล

ช่วงโควิด-19 (ประมาณปี 2020-2021)

  • การถูกบังคับให้ปรับตัวอย่างรวดเร็ว (Forced, Fast, and Furious): การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาครั้งใหญ่ ทำให้เกิดการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอย่างมากในเวลาอันสั้น และหลายๆ เรื่องกลายเป็นพฤติกรรมใหม่ที่มีผลต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน เช่น ภาคธุรกิจถูกบังคับให้ต้องนำ Digital Soltution มาใช้อย่างรวดเร็วเพื่อความอยู่รอด รวมถึงการปรับตัวของผู้บริโภคเข้าสู่ยุค online shopping
  • การปฏิวัติการทำงานบนโลก online จนกลายเป็นทำงานที่ไหนก็ได้ (Work From Anywhere): การเปลี่ยนไปทำงานจากที่ไหนก็ได้อย่างกะทันหันทำให้จำเป็นต้องนำเครื่องมือการทำงานร่วมกัน, แพลตฟอร์มการสื่อสารบนคลาวด์ และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่งมาใช้เพื่อรองรับทีมงานที่ไม่ได้นั่งอยู่ด้วยกันในออฟฟิซ
  • การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของอีคอมเมิร์ซ: ด้วยมาตรการล็อกดาวน์และมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม อีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างไม่เคยมีมาก่อนในทุกอุตสาหกรรม ทำให้ธุรกิจต้องเร่งขยายการแสดงตนบนโลกออนไลน์และความสามารถในการขายดิจิทัลอย่างรวดเร็ว
  • การมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของลูกค้าแบบดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น: เมื่อการปฏิสัมพันธ์ทางกายภาพถูกจำกัด ธุรกิจต่าง ๆ ได้ลงทุนอย่างมากในช่องทางดิจิทัลเพื่อมีส่วนร่วมกับลูกค้า ซึ่งนำไปสู่นวัตกรรมในบริการออนไลน์, การปฏิสัมพันธ์เสมือนจริง และการตลาดดิจิทัลเฉพาะบุคคล
  • การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ Telehealth และการศึกษาออนไลน์: กิจกรรมธุรกิจที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและกิจกรรมด้านการศึกษาได้เห็นการเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วไปสู่การให้บริการแบบดิจิทัล โดยมีการนำแพลตฟอร์ม Telehealth และ Online Learning มาใช้มากขึ้น
  • ความปลอดภัยทางไซเบอร์กลายเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด: การพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและการทำงานจากระยะไกลที่เพิ่มขึ้นได้ขยายความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ทำให้กลายเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ สำหรับองค์กร
  • ข้อสังเกตุ: ระยะแรกมักมีลักษณะเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้แบบเชิงรับเพื่อตอบสนองความต้องการเร่งด่วน ซึ่งบางครั้งนำไปสู่วิธีการที่ไม่ได้เป็นเชิงกลยุทธ์และค่อนข้างกระจัดกระจาย

ช่วงปี 2022-2025 (ยุคหลังโควิด-19 และอนาคตอันใกล้)

  • การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลมีลักษณะเป็นเชิงกลยุทธ์มากขึ้น: ขณะนี้องค์กรต่าง ๆ กำลังก้าวไปสู่วิธีการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่เป็นเชิงกลยุทธ์มากขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างมูลค่าในระยะยาวและความยืดหยุ่น
  • การเน้นการบูรณาการข้อมูลและ AI: การใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลและ AI เพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้น ประสบการณ์เฉพาะบุคคล และการทำงานอัตโนมัติของงานที่ซับซ้อนเป็นจุดสำคัญ
  • สถาปัตยกรรมคลาวด์เนทีฟ (Cloud-Native): การนำแนวทางการพัฒนาและสถาปัตยกรรมแบบคลาวด์เนทีฟมาใช้เพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มความคล่องตัว ปรับขนาดได้ และประสิทธิภาพ
  • การมุ่งเน้นความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล: ด้วยการปฏิสัมพันธ์ทางดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นและกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไป ความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลยังคงเป็นข้อกังวลที่สำคัญ ซึ่งขับเคลื่อนการลงทุนในเทคโนโลยีและแนวทางปฏิบัติ มาตรฐาน รวมถึงกฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  • การปรับปรุงประสบการณ์ดิจิทัล: องค์กรต่าง ๆ ลงทุนอย่างหนักในการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและพนักงานแบบดิจิทัล โดยมุ่งเน้นไปที่การปฏิสัมพันธ์ที่ราบรื่น เข้าใจง่าย และเฉพาะบุคคลมากขึ้น (Hyper personalization)
  • รูปแบบการทำงานแบบ Hybrid: แม้ว่าการทำงานแบบ Work from Anywhere จะยังคงแพร่หลาย แต่องค์กรต่าง ๆ กำลังพัฒนารูปแบบการทำงานแบบ Hybrid ที่ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น ซึ่งต้องใช้เครื่องมือดิจิทัลที่ซับซ้อนเพื่อรองรับการจัดเตรียมการทำงานที่ยืดหยุ่น
  • การแก้ไขช่องว่างทางดิจิทัล: มีการตระหนักถึงความจำเป็นที่เพิ่มขึ้นในการแก้ไขช่องว่างทางดิจิทัลและสร้างความมั่นใจในการเข้าถึงเทคโนโลยีและทักษะดิจิทัลที่ครอบคลุมประชากรส่วนมาก เพื่อการเข้าถึงที่เท่าเทียมมากขึ้น
  • การเพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่: เทคโนโลยีอย่าง 5G, AI ขั้นสูง (รวมถึง Genarative AI และ Agentic AI) และ Web3 กำลังเริ่มก้าวพ้นช่วงการนำไปใช้ในระยะแรก และมีแนวโน้มชัดเจนว่า จะนำมาซึ่งศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้น
  • การพัฒนาบุคลากรและทักษะ: จุดสำคัญคือการพัฒนาทักษะและความสามารถด้านดิจิทัลที่จำเป็นในการขับเคลื่อนและรักษาโครงการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล
  • ภูมิทัศน์กฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไป: รัฐบาลทั่วโลกกำลังมุ่งเน้นไปที่การควบคุมพื้นที่ดิจิทัลมากขึ้น โดยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น ธรรมาภิบาลข้อมูล, จริยธรรมของ AI และการแข่งขันในตลาดดิจิทัล

การเดินทางของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เร่งตัวขึ้น สิ่งที่เริ่มต้นเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปไปสู่การใช้ประโยชน์จากเครื่องมือดิจิทัลได้ถูกขยายอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระยะแรกที่ทำไปตามสถานการณ์ได้เติบโตเป็นแนวทางเชิงกลยุทธ์และครอบคลุมมากขึ้น องค์กรต่าง ๆ ไม่ได้เพียงแค่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อตอบสนองความต้องการเร่งด่วนเท่านั้น แต่กำลังทบทวนรูปแบบธุรกิจ, การดำเนินงาน และการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าด้วยความคิดที่ให้ความสำคัญกับดิจิทัลเป็นอันดับแรก

เมื่อมองไปข้างหน้า อัตราการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลคาดว่าจะยังคงเร่งตัวขึ้นต่อไป โดยได้รับแรงหนุนจากเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่และการเชื่อมต่อระหว่างกันที่เพิ่มขึ้นของโลก จุดมุ่งเน้นน่าจะเป็นการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ชาญฉลาด ปลอดภัย และมีมนุษย์เป็นศูนย์กลางมากขึ้น ซึ่งการขับเคลื่อนนวัตกรรม ประสิทธิภาพ และการเติบโตที่ครอบคลุม ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับภูมิทัศน์ดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลานี้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกภาคส่วนของสังคม ไม่ว่าจะเป็น บุคคล ธุรกิจ และภาครัฐ

มุ่งสู่ยุคแห่ง AI and Data Transformation

ก่อนที่เราจะเข้าสู่ยุคดิจิตัล ในยุค Analog ข้อมูลถูกบันทึกและจัดการในแบบกายภาพ เช่นเอกสารที่เป็นกระดาษ แผนที่ เทปแม่เหล็ก แผ่นเสียง และฟิล์มภาพ สิ่งเหล่านี้ทำให้มนุษย์เริ่มมีการเก็บรวบรวมข้อมูลและนำมาวิเคราะห์ได้สะดวกขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการกำเนิดขึ้นของโลกดิจิตัล ทำให้ข้อมูลถูกแปลงเป็นชุดของตัวในระบบศูนย์และหนึ่ง และทำให้สามารถจัดเก็บรวมถึงการประมวลผลโดยคอมพิวเตอร์ได้ หลังจากนั้นการมาของสมาร์ทโฟน อินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ กล้องดิจิตอล ซีดี DVD MP3 ก็ทำให้รูปแบบของข้อมูลที่ถูกนำมาเก็บและวิเคราะห์มีความหลากหลายมากขึ้น สร้างประโยชน์ได้มากขึ้น

ความสามารถในการประมวลผลและข้อมูล คือสองปัจจัยหลักในการขับเคลื่อน จากยุคดิจิตัลสู่ AI and Data Transformation แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้อมูลทุกประเภททุกแบบจะเป็นข้อมูลที่มีคุณภาพนำไปสู่การขับเคลื่อนได้ ในช่วงล่าสุด ได้มีการให้นิยามคำว่าข้อมูลคุณภาพที่มีส่วนในการขับเคลื่อน Data and AI transformation ว่า จะต้องมีคุณสมบัติ 5 V: Volume ปริมาณ, Variety รูปแบบ, Velocity ความเร็ว, Veracity ความแม่นยำ, Value คุณค่า และเมื่อนำข้อมูลเหล่านี้เข้ามาประยุกต์ใช้กับระบบประมวลผลความสามารถสูง และเทคนิคทางด้าน AI ก็ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็น Generative AI (เช่น ChatGPT, Gemini, Claude, Perplexity) หรือ รถยนต์ไร้คนขับ ระบบแนะนำสินค้า หรือระบบวินิจฉัยโรคทางการแพทย์ เป็นต้น


อะไรคือปัจจัยขับเคลื่อน AI และ Data Transformation ?

  1. ข้อมูล ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าลักษณะสำคัญห้าแบบของข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการทำให้เกิดการเอาข้อมูลปริมาณรูปแบบคุณภาพความเร็วความแม่นยำมาสร้างคุณค่า เพื่อที่จะใช้ในกระบวนการ Data training เพื่อต่อยอดการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ โดยข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ถูกสร้างขึ้นมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและ มีการคาดว่าในปี 2025 จะมีการสร้างข้อมูลถึง 181 zettabyte เทียบกับวันละ 403 เทราไบต์ โดยสัดส่วนมากกว่าครึ่งเป็นข้อมูลในรูปแบบของคลิปวิดีโอที่ถูกรับส่งกันทางอินเตอร์เน็ต (Source: https://explodingtopics.com/blog/data-generated-per-day)
  2. ระบบโครงสร้างพื้นฐานในการเก็บข้อมูล เราจะเห็นว่าในประเทศพัฒนาแล้วมีจำนวน Data Center เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยสหรัฐอเมริกามีจำนวน Data Center เพิ่มสูงขึ้นเป็นกว่า 5,300 แห่งในปี 2567 โดยเพิ่มขึ้นกว่า 96% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยในประเทศไทยของเราเองก็เห็นผู้เล่นระดับโลกที่ให้บริการด้าน Cloud เข้ามาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง
  3. เทคโนโลยี เป็นกำลังผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิดความต้องการจำนวนมหาศาลที่จะนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีเทคโนโลยีในการประมวลผลข้อมูล ตัวอย่างเช่น ถ้าเปรียบเทียบ Chip NVIDIA H100 ที่ออกมาในปี 2565 กับ B200 ที่ออกมาในปี 2568 จะพบว่า B200 ความ เร็วในการสร้างข้อความเพิ่มสูงขึ้นถึง 15 เท่า และมีความเร็วในการ Train AI เพิ่มสูงขึ้นถึง 3 เท่า

ปัจจุบันประเทศไทยก้าวไปได้ไกลแค่ไหนในการขับเคลื่อน AI และ Data Transformation?

โดยเราประเมินจาก 4 มิติหลักที่เกี่ยวข้องและสนับสนุนการขับเคลื่อนพัฒนาการด้านดิจิทัลของไทยซึ่งประกอบด้วย

  1. พัฒนาการด้านดิจิทัล อ้างอิงจากรายงาน Digital Plannet 2025 (Chakravorti et al 2025) ซึ่งได้มีการจัดทำดัชนีวิวัฒนาการทางดิจิทัล (Digital Evolution Index) โดยดัชนีนี้เป็นเครื่องมือที่ใช้ข้อมูลเป็นหลักในการประเมินความก้าวหน้าของเศรษฐกิจดิจิทัลตลอดระยะเวลา 16 ปี (2008 – 2023) โดยในฉบับปัจจุบันครอบคลุม 125 ประเทศ ซึ่งเป็นการรวบรวมตัวชี้วัด 184 ตัวสำหรับแต่ละปีจากแหล่งข้อมูลสาธารณะ แหล่งข้อมูลแบบต้องเสียค่าใช้จ่าย และแหล่งข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ โดยประเมินว่าวิวัฒนาการทางดิจิทัล (Digital Evolution) ถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัย 4 ด้าน ได้แก่ สภาวะด้านอุปทาน (Supply Conditions), สภาวะด้านอุปสงค์ (Demand Conditions), สภาพแวดล้อมทางสถาบัน (Institutional Environment), และ นวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง (Innovation and Change) กรอบการประเมินนี้จะสามารถวัดได้ทั้งสถานะและอัตราของวิวัฒนาการทางดิจิทัล และยังสามารถบ่งชี้ถึงนัยสำคัญสำหรับการลงทุน, นวัตกรรม, การเข้าถึงที่ครอบคลุม, และลำดับความสำคัญของนโยบายด้านสถาบันต่างๆ ได้อีกด้วย โดยในการสำรวจครั้งล่าสุด ได้มีการจัดกลุ่ม ประเทศต่างๆทั้ง 125 ประเทศแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มได้แก่

    • Stand out (สถานะปัจจุบันมีพัฒนาการด้านดิจิทัล ที่ก้าวหน้าและมีโมเมนตัมการพัฒนาที่ดีต่อเนื่อง)
    • Break out (สถานะปัจจุบันมีพัฒนาการด้านดิจิทัล ที่อาจจะยังไม่ก้าวหน้านัก แต่มีโมเมนตัมการพัฒนาที่เร็วขึ้นอย่างมีนัย)
    • Stall out (สถานะปัจจุบันมีพัฒนาการด้านดิจิทัลที่ก้าวหน้า แต่มีโมเมนตัมที่ช้าลง)
    • Watch out (สถานะปัจจุบันมีพัฒนาการด้านดิจิทัลที่ไม่ก้าวหน้านัก และมีโมเมนตัมการพัฒนาที่ช้า)

    สำหรับประเทศไทยของเรานั้น ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Breakout โดยมีอินเดียอินโดนีเซียและเวียดนามเป็นประเทศเอเชียอื่นๆที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้) ในรายละเอียด ไทยอยู่ในลำดับที่ 50 สำหรับสถานะปัจจุบัน แต่อยู่ในลำดับที่ 7 สำหรับโมเมนตัมแห่งการพัฒนา (ในส่วนของโมเมนตัม ในเอเชีย ไทย เป็นรอง จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย และซาอุดิอาระเบีย) โดยปัจจัยหลักที่ทำให้ไทยมีโมเมนตัมที่ดีที่ดีคือการมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงินภายใต้โครงการ PrompPay ซึ่งถือว่าเป็นประเทศชั้นนำในด้านนี้ นอกจากนั้นยังมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร และ internet ที่ดีทั้งในด้านความเร็ว การเข้าถึงได้ง่าย และในต้นทุนที่ต่ำ ซึ่งมีส่วนทำให้กลุ่มประชากรรายได้น้อยมีการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ได้ด้วย เห็นได้จากพัฒนาการของ Class digital parity (ดัชนีที่สะท้อนถึงความเท่าเทียมในการเข้าถึงและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล) ที่ดีขึ้นจาก 29% ในปี 2008 ขยับขึ้นมาเป็น 67% ในปี 2023


  2. งบประมาณภาครัฐด้าน Digital Data และ AI เติบโตอย่างต่อเนื่อง จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยผลักดันสำคัญในอนาคต โดยจากการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลของ Athentic Consulting จากเอกสารงบประมาณประจำปีของสำนักงบประมาณ พบว่างบประมาณด้านดิจิตัลและข้อมูลในปีงบประมาณ 2569 อยู่ที่ประมาณ 18,000 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (Compound Annual Growth Rate: CAGR) ย้อนหลังสามปีอยู่ที่ 6% ในขณะที่งบประมาณด้าน AI ในปีงบประมาณ 2569 อยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาทโดยมี CAGR ย้อนหลังสามปีอยู่ที่ 88% และด้วยเป้าหมายการเข้าสู่รัฐบาลดิจิตอลอย่างเต็มตัวในปี 2570 และการเข้ามาของ AI Tranasformation ของภาครัฐ เราเชื่อว่างบประมาณด้านนี้น่าจะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยหากภาครัฐสามารถที่จะมีงบประมาณสนับสนุนการขับเคลื่อนในด้านนี้ได้อย่างต่อเนื่อง ก็น่าจะเป็นเครื่องจักรสำคัญที่จะทำให้พัฒนาการด้านดิจิทัลของไทยดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังเห็นได้จากในปัจจัยแรกที่โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลจากเงินลงทุนของภาครัฐเป็นส่วนสนับสนุนสำคัญที่ทำให้พัฒนาการด้านดิจิทัลของไทยในระยะหลังเติบโตขึ้นมาก


  3. ความพร้อมด้านกฎหมายและข้อบังคับที่จะรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ เพื่อให้การขับเคลื่อนด้านข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์เป็นไปอย่างมีธรรมาภิบาล ประเทศต่างๆได้เริ่มมีการหันมาออกกฎระเบียบข้อบังคับมาตรฐานรวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องออกมาเป็นระยะ โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วไม่ว่าจะเป็นทางฝั่งสหรัฐฯ หรือยูโรป โดยเราสามารถจำแนกกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ออกเป็น 5 ด้านใหญ่ใหญ่ด้วยกัน ได้แก่

    • ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection)
    • ด้านธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance)
    • ด้านยุทธศาสตร์ข้อมูล (Data Strategy)
    • ด้านความปลอดภัยของข้อมูลและไซเบอร์ (Data Securtity and Cyber Security)
    • ด้านธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ (AI Governance)

    โดยในส่วนของประเทศไทยนั้น ได้มีพระราชบัญญัติ 3 ฉบับที่ดูแล 4 ด้านแรกที่ออกมาในช่วงปี 2562 ได้แก่ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (2562) พระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิตอล (2562) รวมถึงมาตรฐานรัฐบาลดิจิตัลฉบับต่างๆ พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (2562) สำหรับในส่วนของ AI Governance นั้น ล่าสุด ในเดือนมิถุนายน 2568 ETDA ได้มีการประกาศร่างหลักการของกฎหมายว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์ ออกมา สะท้อนให้เห็นว่าภาครัฐของไทยเองก็มีความตื่นตัวในการที่จะมีกฎหมายและข้อบังคับที่จะออกมาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในด้านดิจิทัล ข้อมูล และปัญญาประดิษฐ์

  4. ความพร้อมของภาครัฐและเอกชนด้าน AI โดยจากการสำรวจของ CIOworldBusiness.com พบว่าในปี 2567 ภาคเอกชนไทยมีมุมมองในการที่จะพิจารณาเอา AI มาประยุกต์ใช้ (73.3% เทียบกับ 56.6% ในปี 2566) หรือเริ่มประยุกต์ใช้แล้ว (17.8% เทียบกับ 15.2% ในปี 2566) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะในช่วงเวลาเพียง 1 ปี และยังพบอีกว่ากลุ่มธุรกิจที่มองว่า AI ไม่จำเป็นต้องใช้ในตอนนี้ก็ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญเช่นกัน (8.9% เทียบกับ 28.2% ในปี 2566) โดยจากการทำงานของผู้เขียนที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐมากขึ้นในระยะหลังก็พบว่า ความสนใจและความพร้อมของภาครัฐในด้านนี้ ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะเช่นกัน

    โดยเมื่อพิจารณาจากมิติทั้ง 4 แล้วจะพบว่า แม้ในภาวะปัจจุบันความพร้อมในการขับเคลื่อนเรื่องของ AI and Data Transformation ของไทยเราจะยังมีความท้าทายรออยู่มาก แต่ปัจจัยสนับสนุนทั้งในเรื่องของโมเมนตัมที่เกิดขึ้น งบประมาณ กฎหมายกฎระเบียบต่างๆ รวมถึงความต้องการจากภาครัฐและเอกชน จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านในครั้งนี้เกิดขึ้นแล้วและจะยังเกิดขึ้นต่อไปในช่วง 3-5 ปีข้างหน้าอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนผ่านนี้จะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพได้จำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ทั้งทางด้านข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์เข้ามารองรับ รวมถึงการมีธรรมาภิบาลด้านข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนครั้งนี้ โดยในบทความหน้า เราจะมาคุยกันในประเด็นเหล่านี้ต่อครับ


Dr. Kampon Adireksombat
CEO & Chief Data Strategy and Transformation Officer
About ATHENTIC News & Insights Our Services Contact us Career